วันนี้รู้สึกคิดถึงรุ่นพี่คนหนึ่งที่ตายจากไปกว่า ๕ ปีแล้ว พี่คนนี้มีคุณสมบัติหลายอย่างที่ทำให้อยากแนะนำให้เพื่อน ๆ สมาชิกได้รู้จัก
พี่คนนี้ไปศึกษาด้านวิศวกรรมและทำงานอยู่ต่างประเทศหลายปี พอกลับมาก็มีเหตุให้ศรัทธาในหลวงปู่ดู่จากคำยกย่องของอาจารย์ฆราวาสที่พี่เขานับถือมาก พอดีกับภรรยาของพี่คนนี้เป็นเพื่อนร่วมงานของลุงสิทธิ์ หลังจากได้แนะนำให้รู้จักกัน ก็รู้สึกถูกอัธยาศรัยและสนิทสนมกันเร็วมาก ในช่วงนั้น พี่เขาจะขับรถมารับลุงสิทธิ์ไปวัดสะแก เพื่อกราบหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ และทำสมาธิภาวนาที่กุฏิหลวงน้าสายหยุดเป็นประจำ จนหลวงน้าสายหยุดก็รู้สึกเมตตาต่อเขามาก เขาเป็นคนขยันสวดมนต์และนั่งสมาธิภาวนามาก วันหนึ่ง ๆ พี่เขาสวดมนต์และนั่งสมาธิราว ๓-๔ ชั่วโมงเป็นอย่างน้อย
พี่เขาทำธุรกิจของครอบครัวโดยมีคนงานในความดูแลราว ๒๐๐ คน แต่สุดท้ายเขาเลือกที่จะมีพนักงานในความดูแลให้น้อยที่สุด เพื่อภาระที่น้อยลง แต่ก็น่าแปลก พี่เขาเล่าว่าแม้สุดท้ายจะมีพนักงานเพียงไม่กี่คน (ไม่ถึง ๑๐ คน) แต่รายได้สุทธิแทบไม่แตกต่างจากสมัยที่ดูแลพนักงานเรือนร้อย เขาจึงสรุปว่าที่ผ่านมานั้นเขาเหนื่อยเลี้ยงคนอื่นแท้ ๆ
ภายหลังที่มีคนในความดูแลน้อยลงมากแล้ว พี่เขาก็ทุ่มเทกับการปฏิบัติภาวนามากขึ้น พี่คนนี้นับว่ามี sense ในการสัมผัสพลังพุทธคุณในองค์พระ ซึ่งลุงสิทธิ์ได้ลองทดสอบหลายครั้งก็รู้สึกเชื่อว่าการสัมผัสของเขามีความแม่นยำมากทีเดียว
พี่คนนี้มีบุคลิกภาพเป็นคนห้าว ๆ พูดจาเสียงดัง แต่ก็สังเกตว่าเป็นคนรักพ่อแม่ ครั้งหนึ่งเขาได้พาคุณแม่ไปทำบุญและร่วมนั่งสมาธิที่หน้ากุฏิหลวงน้าสายหยุด อยู่ ๆ เขาร้องไห้ น้ำตาไหลพราก ออกจากสมาธิมากราบหน้าตักคุณแม่ เขาเล่าว่าเขาเห็นภาพสมัยที่เขาเป็นเด็กเล็กเดินไปโรงเรียน และเห็นภาพคุณแม่ถือปิ่นโตอาหารเดินตามไปส่ง
ด้วยความที่เขาไปใช้ชีวิตในต่างประเทศเสียนาน ทำให้กิริยามารยาทของเขาไม่เรียบร้อยและไม่อ่อนโยนต่อคุณแม่สักเท่าไหร่ เขาเสียใจที่บ่อยครั้งมีปากมีเสียงกับคุณแม่ แต่เมื่อได้มากราบหลวงปู่ มาปฏิบัติตามแนวทางที่หลวงปู่สอน เขารู้สึกว่าจิตใจของเขาอ่อนโยนลงเป็นลำดับ มาครั้งนี้เขารู้สึกรักคุณแม่มาก เมื่อไม่มีคุณพ่อให้ดูแลแล้ว เขาตั้งใจจะดูแลและให้สิ่งที่มีค่าที่สุดกับคุณแม่ ทั้งสุขทางโลกและสุขทางธรรม
ตอนนั้นลุงสิทธิ์ก็นั่งสมาธิอยู่ด้วยกันกับเขา พอเขาเดินล่วงหน้าไปสักหน่อย คุณแม่ก็หันมาพูดกับลุงสิทธิ์ว่า "ขอบคุณมากนะ ที่ทำให้แม่ได้ลูกคนเดิมคืนมา" (จริง ๆ แล้ว ควรขอบพระคุณหลวงปู่จึงจะถูก)
พี่คนนี้มีจิตใจที่เบิกบานมาก พบเห็นทีไรก็มีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส และพูดได้ว่า เขาอยู่ที่ไหน ก็จะมีคุณแม่อยู่ด้วยเสมอ เขาไม่เคยทอดทิ้งคุณแม่เลย บางทีก็พาคุณแม่ไปพบเพื่อน ๆ ให้ได้สนทนาตามประสาคนวัยเดียวกัน เขาพาคุณแม่ไปรับประทานอาหารนอกบ้านทุกสัปดาห์ แต่ที่พลาดไม่ได้คือการพากันไปกราบหลวงปู่ กระทั่งคุณแม่ก็พลอยศรัทธาในบารมีธรรมของหลวงปู่ไปด้วยทั้ง ๆ ที่ทั้งคู่ไม่ทันสังขารธรรมของหลวงปู่
พี่เขาเร่งปฏิบัติทั้งยามค่ำคืนและช่วงเช้ามืด ราวกับว่าจะรู้ตัวว่าอายุไม่ยืน ก่อนหน้าที่เขาจะเสียชีวิต เขาบอกว่าเขาอยากได้พระบรมสารีริกธาตุไปบูชามาก ลุงสิทธิ์จึงจัดใส่ผอบไปให้ที่บ้าน เขาดีใจและปีติมาก กล่าวขอบคุณซ้ำ ๆ อยู่หลายครั้ง พอวันรุ่งขึ้น คุณแม่ของพี่คนนี้โทรมาพูดพลางร้องไห้ว่าพี่เขาได้ตายแล้วด้วยโรคหัวใจวายเฉียบพลัน
เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ลุงสิทธิ์ได้เห็น "ศพยิ้ม" ริมฝีปากของพี่คนนี้ยิ้มจริง ๆ ยิ้มเหมือนจะบอกคุณแม่ ภรรยา และเพื่อน ๆ ว่าเขาไปดี มีความสุข ขอทุกคนอย่าได้ห่วง ไม่กี่วันหลังงานศพ ภรรยาของพี่ท่านนี้โทรมาเล่าว่า เธอได้ฝันเห็นพี่ท่านนี้มาหา มาบอกว่า "เธอจะมาเสียใจทำไม ร่างกายของฉันมันเป็นเหมือนรังของโรค มันเก่าคร่ำคร่า มีโรคภัยไข้เจ็บสารพัด ตอนนี้ฉันมีความสุขมาก เธออย่าได้ทุกข์ใจเลย" ภรรยาของพี่เขาเล่าด้วยน้ำเสียงที่รู้สึกได้ว่าได้คลายความทุกข์ใจลงไปอย่างมากแล้ว
...คิดถึงหนอ คิดถึงหนอ
...สุดท้าย มีก็เหมือนไม่มี
...เตรียมตัวหนอ เตรียมตัวหนอ |