ธุลีดิน Talk: |
ต้นไม้ต้นหนึ่ง..พิจารณาดูดีๆย่อมมีธรรม
ราก ลำต้น กิ่งก้าน ใบ ประกอบขึ้นเป็นธรรม
แม้เพียงลำต้น..พิจารณาโดยส่วนลึก
ยังประกอบด้วย เปลือก แก่น กระพี้..
ท่านชอบส่วนใดของต้นไม้ต้นนี้ฤา...
|
|
|
อ้า... วันนี้มีประเด็นให้ได้มีธรรมสากัจฉากับคุณธุลีดินอีกแล้ว
การปฏิบัติธรรมตามความเห็นของผมนั้น มิได้ขึ้นอยู่กับว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ มันขึ้นอยู่กับว่าถูกต้องหรือไม่ถูกต้องมากกว่า
ที่ว่าส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้รวมเป็นธรรม ก็ต้องตระหนักด้วยว่า กระพี้คือกระพี้ กระพี้ไม่ใช่แก่น เปลือกคือเปลือก เปลือกมิใช่แก่น ฯลฯ ปัญหาคืออย่าเผลอคว้าเอาเปลือกมาด้วยความสำคัญมั่นหมายว่ามันเป็นแก่น
ส่วนต่าง ๆ ของต้นไม้ย่อมมีความสำคัญ เปลือกก็สำคัญอย่างเปลือก เพราะเปลือกช่วยรักษากระพี้ กระพี้ก็สำคัญอย่างกระพี้ เพราะกระพี้ช่วยรักษาแก่น ก็เหมือนศีล สมาธิ และปัญญาที่ห่อหุ้มรักษาตัววิมุติ
อีกประการหนึ่ง ผมเคยหยิบยกอยู่หลายครั้งว่าวัตรภายนอก เช่น พิธีกรรมต่าง ๆ เราจะไปดูถูกไม่ได้ เพราะไม่มีเปลือกหรือกระพี้ ต้นไม้ก็อยู่ไม่ได้
แต่ประเด็นที่อยากจะชี้ ณ ที่นี้ เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนหรือเข้าใจผิด ก็คือ เราไม่ได้พูดกันถึงเรื่องเปลือกหรือกระพี้ แต่เรากำลังพูดถึง "เถาวัลย์หรือกาฝาก" ที่มันจะมาทำลายตัวต้นไม้
การทำพิธีกรรมทางศาสนาพราหมณ์โดยขาดปัญญา หรือการเล่นเดียรัจฉานวิชา ฯลฯ มันจะทำให้ชาวพุทธเสียหลัก หลักอะไร ก็คือหลักเรื่องกรรมและความเพียรที่เน้นย้ำว่าบุคคลจะหลุดพ้นได้ก็ด้วยความเพียร จะอยู่ดีมีสุขก็ต้องประพฤติธรรม มิใช่การอ้อนวอนอาราธนาขออำนาจหรือพลังงานลี้ลับมาดลบันดาล หรือเน้นอาคมยิ่งกว่าการประพฤติธรรม
ผมเข้าใจเจตนาและเชื่อในความปรารถนาดีของคุณธุลีดิน แต่ดูเหมือนคุณธุลีดินกำลังเอา ๒ เรื่องมาปนกัน คือ ๑. เรื่องคนเรามีจริตนิสัยที่ต่างกัน กับ ๒. การปฏิบัติที่ใช่ กับที่ไม่ใช่
ในข้อ ๑ นั้น เป็นเรื่องของหนทางที่ล้วนถูกต้อง ซึ่งผู้ปฏิบัติพึงพิจารณาเลือกหนทางที่ถูกจริตนิสัย (ไม่ควรใช้คำว่าชอบใจหรือไม่ชอบใจ ก็เหมือนเด็ก ๆ หากผู้ใหญ่ให้เขาเลือกเอาหรือเลือกทำแต่ที่ชอบใจ ผลจะเป็นอย่างไร)
แต่ข้อ ๒ เป็นเรื่องหนทางที่ผิดกับที่ถูก ไม่ใช่เรื่องของหนทางที่เหมาะกับจริตนิสัยหรือไม่
อุปมาเหมือนมีทางไต่ลงเขาอยู่ ๓ ทาง ๑. ไต่อ้อมลงไปทางซ้ายซึ่งอาจช้าหน่อยเพราะมีต้นไม้เยอะ ๒. ไต่อ้อมลงไปทางขวาซึ่งอาจช้าหน่อยเพราะมีโขดหินมาก และ ๓. ไต่ลงไปตรงๆ เพราะมันใช้เวลาสั้นที่สุด แต่ทว่ามันชันมาก (ต้องใช้ความเพียรแรงกล้า)
ทั้ง ๓ ทางล้วนเป็นทางไปสู่จุดหมายได้ ที่ผู้ปฏิบัติต้องเลือกเอาว่าจะเดินทางไหน แต่อยู่ ๆ ก็มีคนมาเสนอว่า อย่าไปนะ ๓ ทางที่ว่านั้น ให้กระโดดลงไปเลย จะถึงเร็วที่สุด แถมไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยด้วย เพราะเชื่อว่าข้างล่างมีอะไรนุ่ม ๆ รองรับอยู่
ผู้รู้ (คือพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์) ซึ่งท่านทราบอันตรายของหนทางดังกล่าว ท่านจึงเตือนด้วยความเมตตาว่าจะมีอันตรายถึงชีวิต (พระพุทธเจ้าเคยอุปมาพระองค์เองว่าเป็นเหมือนยามเฝ้าตลิ่ง คอยบอกเตือนผู้ที่ไม่รู้ มิให้ไหลไปตามกระแสน้ำแล้วไปตกเหวข้างหน้า)
สรุปก็คือ ไม่ควรเอาประเด็น หนทาง ๓ หนทาง (ซึ่งถูกทุกทาง) มาปนเปกับหนทางที่ "ไม่ใช่"
ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่าหนทางไหนใช่ หรือไม่ใช่
ก็อาศัยแผนที่และเข็มทิศที่พระพุทธเจ้าประทานให้นั่นเอง
แล้วจะไปหาแผนที่หรือเข็มทิศจากไหน
ตอบว่า ก็อาศัยการศึกษา ไม่ว่าจะศึกษาโดยตรงจากพระไตรปิฎก หรือศึกษาผ่านครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ (กรณีครูอาจารย์สอนไม่ตรงกับไม้บรรทัดที่พระพุทธเจ้าให้ไว้ เราก็ต้องยึดเอาของพระพุทธเจ้าเป็นหลักไว้ ไม่อย่างนั้นก็กลายเป็นปฏิบัติตามลัทธิของอาจารย์ ไม่ใช่ศาสนาพุทธ)
นี่เขียนจนเมื่อยมืออีกรอบแล้วนะครับคุณธุลีดิน ถ้าไม่เห็นว่าเป็นคุณธุลีดินซึ่งท่องไปทั่วอีสาน เป็นคนรักความจริง และรักในเหตุในผล ก็คตงไม่เสี่ยงแสดงทัศนะข้างต้นเป็นแน่
ด้วยความรักนับถือในฐานะผู้มีความเคารพในหลวงปู่ดุจเดียวกันครับ |